มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง THE SURVIVAL TRILOGY เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ จำนวน 6 เล่มหนังสือของมอร์แกนมีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา
มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!
“วงแหวนของผู้วิเศษ มีส่วนผสมทุกอย่างของการประสบความสำเร็จทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อย ความลึกลับ อัศวินผู้กล้าหาญ ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานพร้อมกับการอกหัก การหลอกหลวงและการทรยศ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้หลายชั่วโมง และเป็นที่ชื่นชอบของทุกวัย แนะนำให้มีประจำไว้ในห้องสมุดสำหรับคอนักอ่านเรื่องแฟนตาซี”
–-Books and Movie Reviews, Roberto Mattos
“นิยายมหากาพย์แฟนตาซีที่น่าสนุกสนาน”
–-Kirkus REviews
“จุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ”
–– San Francisco Book Review
“อัดแน่นไปด้วยการผจญภัย…งานเขียนของไรซ์ช่างเข้มข้นและวางโครงเรื่องอย่างมีเหตุมีผล”
–– Publishers Weekly
“นิยายแฟนตาซีที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์นิยายสำหรับวัยรุ่นที่เหมาะสม”
–– Midwest Book Review
สงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ของสหรัฐฯ พ.ศ. 2519 ห้ามนำส่วนใดของการเผยแพร่นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายหรือถ่ายทอดในรูปแบบใด ๆ หรือโดยความหมายใด ๆ หรือเก็บบันทึกเป็นข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
หนังสือ ebook นี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และ ebook เล่มนี้ไม่อาจนำไปขายซ้ำ หรือยกให้ผู้อื่น หากคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับผู้อื่น ขอความกรุณาซื้อเพิ่มใหม่เป็นส่วนตัว หากคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ ขอความกรุณาส่งคืนและดำเนินการซื้อในนามของคุณ ขอบคุณที่ให้ความเคารพในการทำงานอย่างหนักของผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ สถานการณ์ และเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน หรือเป็นการแต่งขึ้น ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นความบังเอิญทั้งสิ้น
“เพียงน้อยคน ร่วมสุขทุกข์ ดั่งพี่น้อง
เลือดเขาหลั่งร่วมกับข้าในวันนี้
รวมเราเข้าเป็นน้องพี่ จงหล่อหลอม”
--วิลเลียม เชคสเปียร์เฮนรี่ เล่มที่ 5
ธอร์กำลังเข้าเผชิญหน้าอยู่กับพระราชินีเกว็นโดลีน เขาถือดาบอยู่ข้างกายพร้อมกับร่างทั้งร่างที่สั่นไหว เขามองออกไปเห็นใบหน้าทุกคนที่กำลังจ้องมองกลับมาที่เขาอย่างตกตะลึง พวกเขาอยู่ในความเงียบ ทั้งอลิส อีเร็ค เจ้าชายเคนดริคและสเต็ฟเฟ่น รวมไปถึงกองทัพของเขา ประชาชนที่เขารู้จักและรักใคร่ พวกเขาคือคนของเขา แต่กระนั้น เขากลับเข้ามาต่อสู้กับพวกเขาและถือดาบอยู่ข้างกาย เขาเข้ารบผิดฝั่งผิดฝ่าย
ในที่สุด เขาก็ระลึกขึ้นได้
สิ่งที่บดบังธอร์ได้ถูกยกออกไปแล้วจากคำพูดของอลิสที่มันดังผ่านสะท้านไปทั่วทั้งร่างของเขา มันเข้ามาเติมเต็มความชัดเจนให้กับเขา เขาคือธอร์กริน ทหารแห่งกองรบหน่วยยุวชน สมาชิกแห่งอาณาจักรวงแหวนตะวันตก เขาไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิ เขาไม่ได้รักพ่อของเขา เขารักประชาชนของเขาพวกนี้ทุกคน
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งมวล เขารักพระราชินีเกว็นโดลีน
ธอร์มองลงไปยังพระพักตร์ของพระนาง พระองค์กำลังทอดพระเนตรกลับมายังเขาด้วยความรักพร้อมกับน้ำพระเนตรเอ่อล้นดวงเนตร เขารู้สึกท่วมท้นไปด้วยความอดสูและหวาดกลัวที่ระลึกได้ว่า เขากำลังเข้าเผชิญหน้ากับพระนาง พร้อมกับถือดาบเล่มนี้ในมือ ฝ่ามือของเขารู้สึกเร่าร้อน มันแผดเผาไปด้วยความอัปยศและความเศร้าโศกเสียใจ
ธอร์ปล่อยดาบให้หลุดจากมือ เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อสวมกอดพระนาง
พระนางเกว็นโดลีนก็ทรงสวมกอดเขากลับไปอย่างแนบแน่น เขาได้ยินเสียงพระนางทรงกรรแสงและรับรู้ได้ถึงความร้อนจากน้ำพระเนตรที่ไหลรินอาบข้างพระปราง ธอร์กำลังท่วมท้นไปด้วยความเศร้าเสียใจที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันลางเลือนไปหมด สิ่งที่เขารับรู้ได้ทั้งหมดก็คือ เขารู้สึกมีความสุขที่ได้กลับเป็นตัวเองอีกครั้ง ได้รู้สึกถึงความชัดเจนและได้กลับมาอยู่กับประชาชนของเขาอีกครั้ง
“ข้ารักเจ้า” พระนางทรงกระซิบในหูของเขา “และก็จะรักตลอดไป”
“ข้าพระองค์ก็รักพระองค์ด้วยทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นอยู่เป็นตัวข้า” ธอร์ตอบกลับไป
โครห์นกำลังร้องครางอยู่ที่เท้าของเขา เดินกระเผลกเข้ามาเลียเข้าที่ฝ่ามือของธอร์ ธอร์ชะโงกตัวลงไปจูบเข้าที่หน้าของมัน
“ข้าขอโทษ” ธอร์กล่าวกับเขา เมื่อจดจำได้ว่าเขาฟาดลงบนโครห์น ในขณะที่เขาเข้ามาปกป้องพระนางเกว็นโดลีน “ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
พื้นพสุธาที่สั่นไหวอย่างรุนแรงในชั่วขณะที่ผ่านมาก็กลับสู่สภาพปกติในที่สุด
“ธอร์กริน” เสียงแหลมดังขึ้นมาในอากาศ
เขาหันหน้าไปมองยังแอนโดรนิคัส แล้วจึงก้าวไปข้างหน้าในที่โล่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง หน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยความโกรธอันเดือดดาล ทั้งสองกองทัพต่างเฝ้ามองอย่างตกตะลึงอยู่มนความเงียบ เมื่อพ่อและลูกกำลังเข้าเผชิญหน้ากันและกัน
“ข้าขอสั่งเจ้า!” แอนโดรนิคัสกล่าว “ฆ่าพวกมัน ฆ่าพวกมันทั้งหมด! ข้าคือพ่อของเจ้า เจ้าต้องฟังข้าและข้าเท่านั้น!”
แต่ในครั้งนี้ ธอร์จ้องมองกลับไปที่แอนโดรนิคัส มันมีบางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างที่เคลื่อนอยู่ภายในของเขา ธอร์ไม่ได้เห็นว่าแอนโดรนิคัสเป็นพ่ออีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ฐานะของสมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่ในฐานะของคนที่เขาต้องกระทำตามและสละชีวิตให้ แต่ว่าเขาเห็นแอนโดรนิคัสเป็นศัตรู เห็นเขาเป็นปีศาจ ธอร์ไม่ได้รู้สึกถึงหน้าที่ผูกพันที่เขาต้องสละชีวิตให้ชายคนนี้อีกต่อไป ในทางตรงข้าม เรารู้สึกถึงไฟอันเดือดดาลที่มีให้กับเขา นี่คือคนที่สั่งให้เขาโจมตีพระนางเกว็นโดลีน นี่คือคนที่สั่งให้เขาฆ่าฟันพวกเดียวกันเอง คนที่ทำให้เขาบุกรุกและปล้นสะดมบ้านเกิดเมืองนอน ตรงนี้คือชายที่ดึงเอาจิตใจของเขาไป คนที่จับเขาไปเป็นเชลยด้วยอำนาจมนตร์ดำ
นี่ไม่ใช่บุคคลที่เขารัก หากแต่ว่า เป็นบุคคลที่เขาต้องการสังหารมากกว่าผู้ใดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อของเขาหรือก็ตาม
ทันใดนั้น ธอร์รู้สึกถึงคลื่นแห่งความเดือดดาลอยู่ภายในตน เขาเอื้อมมือไปจับดาบขึ้นมาและวิ่งเข้าไปจู่โจมอย่างเต็มแรง ไปสู่ที่โล่ง เขาพร้อมแล้วที่จะสังหารพ่อของตน
แอนโดรนิคัสมองด้วยอาการตกตะลึงสุดขีดเมื่อเห็นธอร์วิ่งเข้ามาจู่โจม ธอร์ชูดาบขึ้นและใช้มือทั้งสองมือที่จับดาบฟาดลงมาอย่างเต็มแรง หมายตีลงมายังศีรษะของแอนโดรนิคัส
แอนโดรนิคัสยกขวานศึกขนาดใหญ่ขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย หันมันไปด้านข้างแล้วใช้ด้ามขวานโลหะป้องกันการฟาดนั่นได้
ธอร์ไม่ยอมวางมือ เขาเหวี่ยงดาบไปอีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อที่จะสังหารเขาให้ได้ แต่ในแต่ละครั้ง แอนโดรนิคัสก็สามารถยกขวานศึกขึ้นป้องกันได้ทุกครั้ง เสียงกระทบลั่นของโลหะดังไปทั่วบรรยากาศ ในขณะที่กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างพากันเฝ้ามองอยู่ในความเงียบ ประกายไฟปลิวว่อนออกมาในแต่ละครั้งเมื่ออาวุธกระทบกัน
ธอร์ทั้งกรีดร้องและส่งเสียงคำราม เขาใช้ทักษะทุกอย่างที่เขามีออกมาทั้งหมด ด้วยความหวังที่จะฆ่าพ่อได้ในสักครา เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวของเขาเอง เพื่อราชินีเกว็นโดลีน เพื่อทุกคนที่ทุกข์ทนจากเงื้อมมือของปีศาจร้ายตนนี้ ในการฟาดฟันแต่ละครั้ง สิ่งที่ธอร์ปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การล้างสายเลือดที่เขาสืบมันมา ล้างภูมิหลังของเขา เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพื่อเลือกให้มีพ่อที่ต่างออกไป
ส่วนแอนโดรนิคัสเป็นฝ่ายรับ เขาเพียงป้องกันการปะทะจากธอร์แต่เขาไม่ได้ต่อสู้กลับไป เห็นได้ชัดว่าเขาออมมือให้ลูกชายของเขา
“ธอร์กริน” แอนโดรนิคัสกล่าวขึ้นระหว่างการเข้าโจมตี “เจ้าคือลูกชายของข้า ข้าไม่ต้องการทำอันตรายเจ้า ข้าคือพ่อของเจ้า เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ส่วนข้า ข้าต้องการให้เจ้าตาย!” ธอร์ตะโกนกลับไป
ธอร์เหวี่ยงดาบฟาดลงครั้งแล้ว ครั้งเล่า ผลักดันให้เขาไปด้านหลังข้ามผ่านไปทั้งทุ่งโล่ง แม้แอนโดรนิคัสจะมีขนาดตัวใหญ่และมีพละกำลังอันมหาศาล แต่เขาก็ไม่เหวี่ยงตัวปะทะกลับไปยังธอร์ มันดูราวกับว่าเขากำลังหวังให้ธอร์กลับมาเป็นพวกของเขาอีก
แต่ครั้งนี้ ธอร์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตอนนี้ ในที่สุดธอร์รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ในที่สุด คำพูดของแอนโดรนิคัสก็หลุดอออกไปจากหัวของเขา ธอร์เลือกที่จะตายมากกว่าขอร้องความเมตตาจากแอนโดรนิคัส
“ธอร์กริน เจ้าต้องหยุดได้แล้ว!” แอนโดรนิคัสตะโกนขึ้น ประกายไฟปะทุเข้าใกล้ใบหน่ของเขาในขณะที่เขายกใบมีดขวานศึกขึ้นป้องการฟันเข้าอย่างดุเดือด “เจ้ากำลังบังคับข้าให้ฆ่าเจ้า และข้าก็ไม่ต้องการเช่นนั้น เจ้าคือลูกชายข้า การฆ่าเจ้าก็เหมือนกับการฆ่าตัวของข้าเอง”
“งั้น จงฆ่าตัวเองไปซะ!” ธอร์กล่าว “หรือหากเจ้าไม่อยากทำ อย่างนั้นข้าจะทำมันให้เอง!”
ธอร์ส่งเสียงลั่นเมื่อเขากระโจนเข้าเตะแอนโดรนิคัสเข้าที่หน้าอกด้วยเท้าทั้งสอง ส่งผลให้เขาล้มหลังกระแทกพื้น
แอนโดรนิคัสมองขึ้นมาราวกับว่ากำลังตกตะลึงที่เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้
ธอร์ยืนขึ้นเหนือตัวเขาพร้อมกับยกดาบขึ้นสูงเพื่อเตรียมจบภารกิจนี้เสีย
“อย่า!” เสียงแหลมดังขึ้นมา มันเป็นเสียงที่น่ากลัว เสียงที่ดังราวกับว่ามันปะทุออกมาจากขุมนรกชั้นต่ำลงไป ธอร์ชำเลืองออกไปเห็นชายที่เดินมาโดยลำพังกำลังเดินเข้ามาในทุ่งโล่ง เขาใส่เสื้อคลุมยาวสีเลือดหมู ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ภายใต้หมวกคลุม และมีเสียงคำรามแปลกประหลาดดังขึ้นมาจากทรวงอกของเขา
ราฟี่
ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ราฟี่หวนกลับมาได้ หลังจากการปะทะกับอาร์กอน เขายืนอยู่ที่นั่นแล้วในขณะนี้ เขายื่นแขนทั้งสองออกมาข้างลำตัว แขนเสื้อคลุมตกลงมาเมื่อเขายกแขนขึ้นสูง มันเผยให้เห็นผิวอันซีดเผือดและผิวหนังที่ปูดโปนราวกับว่ามันไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์เลย เขาปลดปล่อยเสียงที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจากด้านหลังคอหอย มันเหมือนกับเสียงคำรามและเมื่อเขาเปิดปากขึ้นมา เสียงมันยิ่งดังขึ้นและดังขึ้นจนกระทั่งดังอื้ออึงไปทั่งบรรยากาศ เสียงทุ้มต่ำที่สั่นไหวกำลังทำให้หูของธอร์เจ็บปวด
พื้นโลกเริ่มสั่นไหว ธอร์ล้มลงเมื่อเขาสูญเสียการทรงตัว ทั้งพื้นพสุธาสั่นสะเทือน เขามองตามมือของราฟี่ที่อยู่ตรงหน้าไปกับภาพที่เขาจะจดจำได้อย่างไม่ลืมเลือน
พื้นโลกเริ่มแตกแบ่งเป็นสองส่วน มันเป็นรอยเปิดที่กว้างและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้นเอง ทหารจากทั้งสองฝ่ายต่างพากันล้มระเนระนาด พร้อมกับพากันกรีดร้องเมื่อพวกเขาหลุดลงไปยังรอยแตกที่ขยายกว้างขึ้น
แสงเรืองรองสีส้มส่องออกมาจากใต้โลกันต์ แล้วจึงตามมาด้วยเสียงขู่ฟ่อๆจากไอน้ำและหมอกที่โผล่ขึ้นมา
มันโผล่ขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว ขึ้นมาจากรอยแยก
มีมือข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากรอยแยกกำลังจับเข้าอยู่กับพื้นโลก มือนั้นมีสีดำตะปุ่มตะป่ำ ดูผิดรูปผิดร่างและมันกำลังดึงตัวเองให้ขึ้นมา ธอร์มองออกไปด้วยความสะพรึงกลัวเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองกำลังโผล่พ้นขึ้นมา มันมีร่างอย่างมนุษย์แต่เป็นสีดำทั้งตัว ดวงตาขนาดใหญ่เรืองแสงสีแดง มีเขี้ยวยาวสีแดง และหางยาวสีดำอยู่ข้างหลัง ร่างของมันดูเละเป็นก้อน มันดูเหมือนกับเป็นซากศพ
มันโง้วตัวไปข้างหลังแล้วปลดปล่อยเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวอย่างราฟี่ออกมา มันดูราวกับว่าเป็นอสูรกายที่ฟื้นจากความตายที่ถูกเรียกตัวมาจากภายใต้ขุมนรกอเวจี
ด้านหลังอสูรกายตนนี้ก็มีตัวอื่นโผล่ขึ้นมาทันที แล้วก็มีโผล่ตามมาอีกตัว
สัตว์ประหลาดนับพันๆตัวโผล่ขึ้นมาพ้นพื้นผิวโลก พวกมันลากตัวมันเองขึ้นมาจากแอ่งนรกอเวจี มารวมกันขึ้นเป็นกองทัพแห่งซากศพ กองทัพของราฟี่
พวกมันพากันมาอยู่ทางฝั่งของราฟี่อย่างช้าๆ ต่างพากันหันมาเผชิญหน้ากับธอร์และคนอื่นๆ
ธอร์จ้องมองกลับไปด้วยอาการตกตะลึงกับกองทัพที่เขาต้องเข้าเผชิญหน้า ขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้นและชูดาบขึ้นสูง จู่ๆ แอนโดรนิคัสก็กลิ้งตัวออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของธอร์ พร้อมถอยหนีกลับไปยังกองทัพของตนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกัน
ทันใดนั้นเอง กองทัพนับพันของอสูรกายก็เร่งเข้ามา มุ่งหน้ามาหาธอร์ มันไหลบ่าโถมเข้ามาเต็มทุ่งโล่ง ต่างพากันเข้ามาเพื่อจะสังหารธอร์และคนของเขา
เกิดเสียงแหลมดังขึ้นมา อสูรกายตัวแรกกระโจนเข้ามาหาเขา มันคำรามและกางกรงเล็บออกมา ธอร์ชูดาบขึ้นสูง ก้าวไปด้านข้างตัวพร้อมกับเหวี่ยงดาบตัดหัวของมันออก มันสะดุดลงล้มไปอยู่กับพื้น แน่นิ่ง และธอร์ก็ทำใจกล้าเตรียมพร้อมรับมือกับตัวต่อไป
อสูรกายพวกนี้แข็งแกร่งและมีความไว หากแต่เมื่อเข้ามาเรียงหนึ่ง ทีละตัวแล้วมันไม่คู่ควรกับธอร์และนักรบที่มีความชำนิชำนาญแห่งอาณาจักรวงแหวน ธอร์สู้กับพวกมันอย่างคล่องแคล่ว สังหารพวกมันได้จากทั้งซ้ายและขวา แต่กระนั้น คำถามก็คือ เขาจะสู้พวกมันได้กี่ตัวในคราเดียว? พวกภูตไหลบ่ากันเข้ามาล้อมรอบตัวเขา พวกมันที่มีกันนับพันๆตัวจากทุกสารทิศ ซึ่งคนอื่นๆก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
ธอร์เข้ามาอยู่เคียงข้างกับอีเร็ค เจ้าชายเคนดริค สร็อกและคนอื่นๆ แต่ละคนต่างต่อสู้เคียงข้างกันและกัน เฝ้าระวังหลังให้พวกตน เมื่อพวกเขาต้องฟาดฟันไปทั้งทางซ้ายและขวา สู้กับอสูรกายสองสามตัวในคราเดียว อสูรกายตัวหนึ่งไถลตัวเข้ามา มันจับเข้ากับแขนของธอร์และทิ้งรอยข่วนเอาไว้ ทำให้มีเลือดไหลออกมา ธอร์ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาเหวี่ยงตัวไปรอบๆ และแทงเข้ายังหัวใจของมัน และสังหารมันลงได้ ธอร์เป็นนักสู้ชั้นยอด แต่ตอนนี้แขนของเขารู้สึกเต้นตุ่บๆ เขาไม่รู้ว่าการต่อสู้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าใดกว่าที่พวกอสูรกายจะถูกกำจัดไปได้
อย่างแรกและที่สำคัญที่สุดในใจของเขา ก็คือ การนำพระราชินีเกว็นโดลีนสู่สถานที่ปลอดภัย
“พาพระนางไปด้านหลัง!” ธอร์ร้องเสียงแหลม พร้อมกับจับเข้ากับสเต็ฟเฟ่นซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับอสูรกาย ธอร์ผลักเขาเข้าไปหาพระนางเกว็น “เดี๋ยวนี้!”
สเต็ฟเฟ่นคว้าพระนางเกว็นและดึงพระนางออกไป ผ่านกลับเข้าในหมู่ทหาร นำพระนางออกมาให้ห่างจากพวกสัตว์ร้าย
“ไม่!” พระนางเกว็นทรงกรีดร้อง ทรงทัดทาน “ข้าอยากจะอยู่ที่นี่กับเจ้า!”
แต่สเต็ฟเฟ่นรับคำสั่งมาอย่างรู้หน้าที่ เขาดึงพระนางกลับเข้าไปยังปีกด้านหลังของสมรภูมิ ปกป้องพระนางด้วยการกำบังจากทัพทหารแห่งแม็คกิลและกองรบเงินจำนวนหลายพันนาย ทหารผู้ที่ยืนอยู่อย่างทรนงและต่อสู้อยู่กับเหล่าสัตว์ร้าย ธอร์ที่เห็นว่าพระนางทรงปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งอก เขาหันกลับไป ถลาเข้าไปต่อสู้กับทัพอสูรกาย
ธอร์พยายามรวบรวมพลังดรูอิดของเขาเพื่อเข้าต่อสู่ทั้งจิตวิญญาณและดาบในมือ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม เขาไม่สามารถเรียกพลังขึ้นมาได้ เขาอ่อนล้าเกินไปจากการต่อสู้กับแอนโดรนิคัส กับการถูกราฟี่ควบคุมจิตใจและพลังของเขาต้องการเวลาในการเยียวยา เขาต้องต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างธรรมดาๆ
อลิสแตร์ก้าวเข้ามาข้างหน้า มาอยู่เคียงข้างธอร์ เธอยกฝ่ามือขึ้นและหันไปยังกลุ่มของอสูรกาย มีแสงส่งผ่านออกมาเป็นลูกๆ จากฝ่ามือของนางและมันสามารถสังหารพวกภูตได้ทีละหลายๆตัวในคราเดียว
นางยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาซ้ำๆ เพื่อสังหารพวกอสูรกายที่อยู่รายรอบตัวนาง เมื่อนั้นเอง ธอร์รู้สึกมีแรงบันดาลใจขึ้นมา พลังของน้องสาวของเขาส่งผลต่อเขา เขาจึงลองรวบรวมพลังอีกครั้งหนึ่งจากข้างใน เพื่อที่จะต่อสู้ไปได้มากกว่าการใช้ดาบแต่เป็นการใช้จิตใจของเขาด้วย เมื่ออสูรกายอีกตนเข้ามาใกล้เขาจึงยื่นฝ่ามือออกไปและพยายามรวบรวมเรียกสายลม
ธอร์รับรู้ได้ถึงสายลมที่รี่เข้ามาสู่ฝ่ามือของเขา และทันใดนั้น อสูรกายนับโหลก็ลอยละลิ่วไปในอากาศ สายลมได้พัดพาพวกมันไป พวกมันร้องโหยหวนเมื่อมันพากันกลิ้งกลับลงไปยังรอยแยกของเปลือกโลก
เจ้าชายเคนดริค อีเร็คและคนอื่นๆอยู่ข้างๆธอร์ต่อสู้กันอย่างองอาจ แต่ละคนฆ่าฟันอสูรร้ายไปคนละหลายสิบตัว เช่นเดียวกับทหารนายอื่นๆรอบตัวพวกเขา พวกเขาต่างพากันกู่ร้องเสียงแห่งการประจันบาน เมื่อต้องเข้าต่อสู้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี พวกทหารจักรวรรดิพากันพักรบและปล่อยให้กองทัพอสูรกายของราฟี่ต่อสู้แทนพวกเขา เพื่อทำให้กองกำลังทหารของธอร์อ่อนล้า แผนนี้กำลังไปได้ดี
ในไม่ช้า ทหารของธอร์ก็พากันเหนื่อยอ่อน และต่อสู้ฟาดฟันได้ช้าลง แต่กระนั้น พวกอสูรกายก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดการถาโถมกันมาจากใต้โลกา มันหลั่งไหลกันมาเป็นสาย
ธอร์พบว่าตัวเองหายใจเหนื่อยหอบ เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ พวกซากศพเริ่มที่จะแทรกผ่านเข้ามาในแถวของพวกเขา และทหารของเขาก็เริ่มที่จะพลาดพลั้ง พวกมันมีปริมาณมากเหลือคณา รอบๆตัวธอร์ทั้งหมดเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องจากทหารของเขาที่ถูกพวกอสูรจัดการให้ร่วงลง พวกในฝังเขี้ยวลงยังคอหอยของทหารและดูดกินเลือดของพวกเขาเข้าไป ในการฆ่าทหารไปแต่ละนาย พวกอสูรกายก็ดูแข็งแกร่งมากขึ้นๆ
ธอร์รู้ดีว่าเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างในทันที พวกเขาต้องการรวบรวมพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อต่อกรกับพวกมัน ต้องการพลังที่แข็งแกร่งไปกว่าที่อลิสแตร์มี
“อาร์กอน!” ธอร์พูดขึ้นมากับอลิสแตร์ในทันที “เขาอยู่ที่ไหน? เราต้องต้องตามหาเขา!”
ธอร์เห็นว่าอลิสแตร์กำลังเหนื่อยอ่อน พละกำลังของนางดูอ่อนลง อสูรกายตัวหนึ่งไถลเข้ามาใกล้นางแล้วใช้หลังมือฟาดใส่จนนางล้มลงและกรีดร้องขึ้นมา ขณะที่อสูรร้ายกระโจนมาอยู่เหนือตัวของนาง ธอร์ก้าวเข้ามาข้างหน้าแล้วเสียบดาบผ่านเข้าไปในหลังของอสูรร้าย นั่นช่วยชีวิตนางไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย
ธอร์เอื้อมมือไปกระชากนางขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนนางลุกขึ้นยืนบนเท้าทั้งสอง
“อาร์กอน!” ธอร์ตะโกนร้องเรียก “เขาคือความหวังเดียวที่เรามี เจ้าต้องตามหาเขาเดี๋ยวนี้!”
อลิสแตร์มองกลับมาด้วยสายตาแห่งการรับรู้และเร่งฝ่าฝูงชนออกไป
อสูรร้ายตนหนึ่งไถลตัวเข้ามา แล้วฟาดกรงเล็บของมันลงยังคอของธอร์ โครห์นเร่งเข้ามาข้างหน้า พร้อมกระโจนขึ้นมาบนนั้น มันขู่คำราม แล้วตรึงร่างของมันสู่พื้นโลก จากนั้นสัตว์ร้ายก็พุ่งเข้ามาข้างหน้ายังหลังของโครห์นอย่างรวดเร็ว และธอร์จึงฟันดาบของเขาลงและสังหารมันได้
อสูรร้ายอีกหนึ่งตัวกระโดดเข้ามายังด้านหลังของอีเร็ค ธอร์จึงเร่งเข้ามาช่วย เขางัดมันออก จับมันไว้ด้วยมือทั้งสองแล้วยกมันขึ้นสูงเหนือหัว จากนั้นจึงทุ่มมันใส่ลงยังอสูรร้ายตนอื่นหลายตัว ส่งผลให้พวกมันล้มลงไป อสูรกายอีกตัวโผเข้ามาจู่โจมเจ้าชายเคนดริค ซึ่งเขามองไม่เห็นว่ามีอะไรเข้ามา ธอร์จึงใช้ดาบสั้นของเขาแทงลงไปในคอหอยของมันได้อย่างทันการณ์ ทันก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงยังหัวไหล่ของเจ้าชายเคนดริคธอร์รู้สึกว่าอย่างน้อยๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาจะทำได้เพื่อเป็นการชดเชยให้กับอีเร็ค เจ้าชายเคนดริคและคนอื่นๆ มันรู้สึกดีที่ได้กลับมาต่อสู้กับฝ่ายนี้กับพวกเขา ได้ต่อสู้อยู่กับฝ่ายที่ถูกต้อง มันรู้สึกดีที่ได้รู้ว่าเขาได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่งและได้รู้ว่าเขากำลังต่อสู้เพื่อสิ่งใด
ในขณะที่ราฟี่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น เปิดลำแขนของเขาขึ้นกว้างและท่องมนตรา เหล่าอสูรกายนับพันๆ ตัวก็ผุดขึ้นมาจากแอ่งใต้โลก และธอร์ก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่สามารถจะยื้อมันเอาไว้ได้นาน ร่างดำมืดของพวกมันล้อมเขาไว้เป็นโขยง เมื่อพวกซากศพเร่กันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนแขนชนแขน ศอกต่อศอก ธอร์ก็รู้ว่าอีกไม่นาน เขาและพรรคพวกทุกคนจะต้องถูกกลืนกินจนสิ้น
อย่างน้อยๆ ธอร์คิดในใจ เขาก็จะตายอยู่กับฝ่ายที่ถูกต้องในสมรภูมินี้
พระนางลูอันดาทรงต่อสู้และดิ้นรนในขณะที่โรมิวลัสกำลังอุ้มพระองค์ไว้ในอ้อมแขน เขานำตัวพระนางไปทีละก้าวๆ ออกไปห่างไกลจากบ้านเกิดมากขึ้นๆ ขณะที่พวกเขากำลังข้ามสะพานไป พระนางทรงกรีดร้องและทรงดิ้นทุรนทุราย พระนางทรงใช้พระนขาจิกลงบนผิวหนังของเขา ไหล่ของเขากว้างเกินไปและเขาก็โอบพระนางอย่างแน่นหนาเหมือนดั่งงูเหลือมรัดเหยื่อเอาไว้และบีบรัดเหยื่อจนตาย มันแน่นจนพระนางแทบมิอาจจะทรงหายใจได้และทรงรู้สึกเจ็บปวดบริเวณซี่โครง
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว สิ่งพระนางทรงวิตกกังวลไปมากที่สุดไม่ใช่เรื่องตัวของพระนางเอง เมื่อพระนางทอดพระเนตรขึ้นไปทรงพบว่า ที่สุดปลายสะพานนั้นเป็นกองทัพอันใหญ่โตมโหฬารดั่งมหาสมุทรของทหารจักรวรรดิที่ยืนรออยู่ตรงนั้น พร้อมกับอาวุธที่ครบครัน พวกเขาทุกคนต่างดูร้อนใจที่จะลดระดับโล่พลังลง เพื่อจะได้ข้ามมายังสะพาน พระนางลูอันดาทอดพระเนตรเห็นเสื้อคลุมแปลกประหลาดที่โรมิวลัสสวมใส่อยู่ มันมีการสั่นสะเทือนและมีแสงเปล่งปลั่งออกมา ในขณะที่เขากำลังอุ้มพระนางไปนั้น พระนางทรงรู้สึกว่าพระนางเหมือนกลับเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่เขาจะนำมาลดระดับของโล่พลังลง มันต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับพระองค์ มิเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงต้องหลับผ่าตัพระองค์ด้วยเล่า?
พระนางลูอันดาทรงรู้สึกถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ในขณะนี้พระองค์จะต้องเป็นอิสระให้ได้ที่ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เองแต่เป็นการทำเพื่ออาณาจักรเพื่อประชาชนหากโรมิวลัสสามารถลด โลพลังลงได้แล้วพวกทหารหลายพันนายพวกนั้นก็จะจู่โจมเข้ามาทหารทั้งโขยงใหญ่ราวกับห่าตั๊กแตนนั้นก็จะเคลื่อนเข้ามาในอาณาจักรวงแหวน พวกเขาจะเข้ามาทำลาย สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในดินแดนเกิดของพระองค์และพระองค์ก็ไม่อาจจะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้
พระนางลูอันดาทรงเกลียดโรมิวลัสอย่างมาก พระนางทรงเกลียดทหารจักรวรรดิทุกคน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงนั้น พระนางทรงเกลียดแอนโดรนิคัสมากที่สุด สายลมแรงพัดผ่านมาและพระนางทรงรู้สึกถึงลมอันหนาวเย็นที่พัดผ่านพระเศียรที่ถูกโกนจนเปลือยเปล่า พระนางทรงร้องครวญครางเมื่อพระนางทรงจดจำได้ถึงช่วงเวลาที่ถูกโกนพระเกศา มันสร้างความอัปยศอดสูให้กับพระองค์จากเงื้อมมือพวกสัตว์เดรัจฉาน พระนางจะฆ่าพวกมันทั้งหมดทุกคนหากพระองค์ทรงทำได้
เมื่อโรมิวลัสได้เข้ามาปลดพระองค์ให้เป็นอิสระจากค่ายของแอนโดรนิคัส ในตอนแรกพระนางลูอันดาทรงคิดว่าพระองค์ได้ถูกไว้ชีวิตจากโชคชะตาอันโหดร้าย ได้ถูกช่วยไว้จากการต้อนเข้าไปอยู่ในขบวนพาเหรดรอบเมือง ที่พวกเขาทำกับพระนางเหมือนอย่างกับสัตว์ตัวหนึ่งในอาณาจักรของแอนโดรนิคัส แต่โรมิวลัสกลับแย่ไปกว่าแอนโดรนิคัสเสียอีก พระนางทรงแน่พระทัยว่า เมื่อใดที่พวกเขาข้ามสะพานไปได้ เขาจะฆ่าพระนางเสีย หรือไม่ก็จะทรมานพระองค์ก่อน พระนางจะต้องหาหนทางหลบหนีให้ได้
โรมิวลัสชะโงกหน้ามาพูดในพระกรรณของพระนางด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ซึ่งทำให้พระเกศาลุกชันขึ้น
"จากตรงนี้ อีกไม่นานหรอกที่รัก"เขากล่าวพระนางทรงต้องคิดทำสิ่งใดอย่างรวดเร็วพระนางลูอันดาทรงไม่ใช่ทาส พระองค์ทรงเป็นพระธิดาพระองค์แรกของกษัตริย์ สายพระโลหิตแห่งขัตติยะวงศ์ไหลวนอยู่ในพระวรกาย เป็นสายพระโลหิตแห่งนักรบ และพระองค์ทรงไม่กลัวผู้ใด พระนางจะทรงทำทุกอย่าง พระนางจะต้องต่อสู้ศัตรูไม่ว่าหน้าไหน แม้ว่าเขาอาจจะวิตถารหรือมีความแข็งแกร่งมากอย่างเช่นโรมิวลัส
พระนางลูอันดาทรงรวบรวมพละกำลังที่เหลือทั้งหมดและในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วครั้งนั้น พระองค์ทรงเอนพระศอไปด้านหลัง จากนั้นจึงตวัดมาด้านหน้าอย่างเร็วและฝังพระทนต์ลงไปยังลำคอของโรมิวลัส พระองค์ทรงกัดลงไปอย่างแรงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีและบีบมันให้แน่นขึ้นให้แรงขึ้น จนกระทั่งเลือดกระเซ็นออกมาทั่วพระพักตร์ของพระนาง จนเขากรีดร้องและปล่อยตัวพระนางตกลงมา พระนางลูอันดาทรงรีบขยับตัวลงบนพระชานุ ทรงหันพระวรกายและรีบลุกขึ้นมา แล้วทรงวิ่งด้วยความเร็วสูงกลับไปที่ยังสะพานไปสู่ดินแดนบ้านเกิดเมืองนอน
พระนางทรงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาอยู่ด้านหลังเขารวดเร็วเกินกว่าที่พระนางทรงคาดไว้และเมื่อพระนางทรงชำเรืองกลับไปพระองค์ก็เห็นเขาตามมาด้วยสีหน้าที่ โกรธแค้นเดือดดาลอย่างที่สุด
พระนางทอดพระเนตรไปข้างหน้าและเห็นพื้นแผ่นดินของอาณาจักรวงแหวนอยู่ตรงหน้าห่างไปเพียง 20 ฟุตเท่านั้นและพระองค์ทรงเร่งวิ่งให้หนักขึ้นกว่าเดิม
มันห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ทันใดนั้น พระนางลูอันดาก็ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างน่าสะพรึงกลัวอยู่ที่พระอัฐิด้านหลัง ในขณะที่โรมิวลัสกำลังถลำตัวมาด้านหน้าและใช้ศอกกระทุ้งเขายังส่วนหลังของพระองค์ พระนางทรงรู้สึกราวกับว่าเขาได้บดขยี้ หักพระอัฐิส่วนนั้น จนพระนางทรงล้มลง พระพักตร์คว่ำไปอยู่กับพื้นดิน
อีกชั่วขณะหนึ่ง โรมิวลัสได้คร่อมอยู่บนพระวรกาย เขาหมุนพระนางไปรอบๆและต่อยเข้ายังพระพักตร์ของพระนาง เขาต่อยพระนางอย่างแรง จนกระทั่งพระวรกายพลิก ไปอีกด้าน และทรงนอนราบหลังติดกับพื้นดิน ความเจ็บปวดแพร่กระจายไปทั่วทั้ง พระพักตร์ในขณะที่พระนางทรงนอนอยู่ตรงนั้นแหละแทบจะหมดพระสติ
พระนางลูอันดาทรงรู้สึกว่าพระองค์ถูกห้อยตัวอยู่เหนือหัวของโรมิวลัสและพระนางทรงเฝ้ามองดูด้วยความหวาดผวา ในขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังขอบของสะพานและเตรียมตัวที่จะโยนพระนางลงไป เขากรีดร้องขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น ยกลำตัวพระนางขึ้นสูงเหนือหัว และเตรียมตัวที่จะโยนพระองค์ลงไป
พระนางลูอันดาทรงทอดพระเนตรลงไปยังหน้าผาสูงชันและพระองค์ทรงรู้ว่ากำลังจะสิ้นพระชนม์ชีพ
แต่โรมิวลัสยังคงแบกพระนางอยู่ตรงนั้น เขายืนตัวแข็ง ยืนอยู่ตรงหน้าผาด้วยลำแขนที่สั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้ ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวแห่งความเป็นความตายนั้น ดูเหมือนว่าโรมิวลัสจะโต้แย้งกับตัวของเขาเอง เขาต้องการที่จะโยนพระนางลงไปจากขอบผาด้วยความคลั่งไคล้ เดือดดาล แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่ได้ทำมันลงไป เขายังต้องการบรรลุเป้าหมายของตนจากการใช้งานพระนาง
ในที่สุด เขาก็ลดพระนางลงและใช้แขนรัดพระนางให้แน่นยิ่งขึ้น บีบรัดจนพระชนม์ชีพแทบดับสูญ เขารีบเร่งข้ามไปยังหุบเขาใหญ่ รีบมุ่งหน้ากลับไปหาประชาชนของเขา
ในเวลานี้พระนางลูอันดาทรงห้อยตัวอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนล้า อย่างเจ็บปวด ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำได้มากไปกว่านี้ พระนางทรงพยายามและก็ทรงล้มเหลว ในตอนนี้สิ่งที่พระนางสามารถทำได้ คือ การเฝ้ามอง โชคชะตาที่จะเข้ามา ทีละก้าวทีละก้าว ในขณะที่พระนางถูกแบกข้ามไปยังหุบเขาใหญ่นั้น หมอกที่หมุนวนก็ยกตัวขึ้นมาพร้อมกับโอบล้อมพระองค์ไว้ จากนั้นจึงหายไปอย่างรวดเร็ว พระนางลูอันดาทรงรู้สึกราวกับว่า พระองค์ทรงถูกย้ายมาอยู่ยังอีกโลกหนึ่ง อยู่ในสถานที่ที่พระองค์จะไม่มีวันได้หวนคืนกลับมา
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงฝั่งที่อยู่ไกลออกไปของหุบเขาใหญ่ และเมื่อโรมิวลัสได้ก้าวขาก้าวสุดท้าย เสื้อคลุมที่อยู่รอบไหล่ของเขาก็สั่นสะเทือนพร้อมกับเกิดเสียงดังขึ้นมา มีแสงสว่างส่องเรืองรองออกมาเป็นสีแดง โรมิวลัสปล่อยพระนางลูอันดาไว้บนพื้นดินราวกับเป็นหัวมันฟารัสเก่าๆ พระนางทรงตกกระแทกที่พื้นอย่างแรง พระเศียรชนเข้าอย่างแรงกับพื้นและทรงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ทหารของโรมิวลัสยืนอยู่ตรงนั้นที่ขอบของสะพาน พวกเขาจ้องมองออกมา เห็นได้ชัดว่า ทหารทุกนายต่างหวาดกลัวที่จะก้าวขาและทดสอบว่าโล่พลังได้ถูกลดระดับลงแล้ว
โรมิวลัสดึงทหารมาหนึ่งนายและยกเขาขึ้นสูงเหนือหัว พร้อมกับโยนเขาออกไปยังสะพาน โยนตรงไปยังกำแพงที่มองไม่เห็น ในบริเวณที่มันเคยเป็นกำแพงของโล่พลังมากก่อน ทหารคนนั้นชูมือขึ้นและกรีดร้อง เขาพยายามทำใจกล้ากับความตายอันเที่ยงแท้ที่เขาคาดว่า จะร่างของตนจะแหลกสลายแตกออกเป็นเสี่ยง
แต่เวลานี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ร่างของทหาร ลอยละลิ่วไปในอากาศแล้วตกลงยังบนสะพานจากนั้นจึงกลิ้งไปหลายตลบฝูงชนต่างพากันเฝ้ามองด้วยความเงียบงัน เพื่อดูว่าทหารที่กลิ้งไปนั้นจะยังมีชีวิตหรือไม่
ทหารคนนั้นหันตัวลุกขึ้นนั่งและจ้องมองกลับมายังเหล่าทหาร ซึ่งตัวเขาเองดูเหมือนจะตกตะลึงมากที่สุดว่าเขาทำมันสำเร็จ เรื่องนี้ตีความได้เป็นอย่างเดียว คือ โล่พลังถูกลดระดับลงแล้ว
กองทัพของโรมิวลัสพากันโห่ร้องด้วยเสียงดังสนั่น จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเข้าจู่โจม อพยพเข้ามาดั่งฝูงแมลง รีบเร่งเข้ามาในอาณาจักรวงแหวน เจ้าหญิงลูอันดาทรงหมอบตัวคตคู้ ทรงพยายามที่จะพาตัวออกมาอยู่นอกเส้นทางที่พวกเขาจะกระทืบผ่าน มันดูเหมือนกับโขยงของฝูงช้างที่มุ่งหน้าเข้าไปยังบ้านเกิดของพระองค์ พระนางทรงเฝ้าดูด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
ในขณะนี้ พระนางรู้ดีว่าประเทศของพระองค์มาถึงจุดจบแล้ว