Free

วั๊นซ์ กอน

Text
Mark as finished
Font:Smaller АаLarger Aa

บทที่ 23

พอไรล์ลี่มาถึงควอนติโก้และเดินเข้าไปในศูนย์วิเคราะห์พฤติกรรม ทั้งหัวหน้าและบิลก็นั่งรอเธออยู่ในออฟฟิศของวาล์วเดอร์แล้ว เธอเข้าใจว่าบิลคงถูกเรียกตัวมาสำหรับการประชุมนี้โดยเฉพาะ

หัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่พิเศษ คาร์ล วาล์วเดอร์ ยืนขึ้นจากโต๊ะทำงาน

“สมุนของวุฒิสมาชิก?” วาล์วเดอร์เปิดประเด็น หน้าอ่อนเยาว์ของเขาขมวดปมด้วยความโกรธ

ไรล์ลี่หลบตาลง เธอพูดเกินไปจริงๆ

“ดิฉันขอโทษค่ะท่าน” เธอตอบออกไป

“คำขอโทษมันคงไม่พอหรอกนะ เจ้าหน้าที่เพจ” วาล์วเดอร์กราด “คุณทำเกินไปแล้ว คุณคิดยังไงถึงไปบ้านท่านวุฒิสมาชิกเพื่อเผชิญหน้าแบบนั้น รู้ตัวมั้ยว่าทำเสียหายแค่ไหน”

จากคำว่า “เสียหาย” ไรล์ลี่แน่ใจว่าเขาหมายถึงความอับอายส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งเธอคงไม่ต้องใส่ใจกังวลอะไรนัก

“ท่านหา ซินดี้ แมคคินน่อน พบรึยัง” เธอถามเสียงต่ำ

“ยัง อันที่จริง ก็ยังไม่ได้หา” วาล์วเดอร์บอกเสียงกริบ “และให้พูดตรงๆ คุณเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้เราหาได้พบ”

เหมือนโดนจี้ใจดำ

“ฉัน ไม่ได้ช่วยเหรอ?” เธอตอบ “ท่านคะ ดิฉันบอกไปหลายครั้งแล้วว่าท่านจับคนร้ายมาผิดคนแล้วก็กำลังค้นหากันอยู่ผิด – ”

ไรล์ลี่หยุดตัวเองไว้กลางประโยค

สิ่งสำคัญตอนนี้คือ ซินดี้ แมคคินน่อน ไม่ใช่การฟาดฟันกันระหว่างเธอกับวาล์วเดอร์ นี่ไม่ใช่เวลาจะมากัดกันหยุมหยิม เธอจึงอ้าปากพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่อ่อนลง

“ท่านคะ แม้ว่าดิฉันจะรู้สึกว่าท่านวุฒิสมาชิกกำลังปิดบังข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่ ดิฉันอาจจะทำผิดพลาดที่ไม่ได้แจ้งท่านก่อนเรื่องการไปบ้านท่านวุฒิสมาชิกเพื่อขอพบ และดิฉันขออภัย แต่โปรดลืมเรื่องของดิฉันไปซักพัก ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไปเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว หากดิฉันคิดถูกและมีคนอื่นกักตัวเธอเอาไว้อยู่ล่ะ เธอจะเป็นยังไงบ้างตอนนี้ เธอยังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?

บิลเสริมด้วยเสียงระมัดระวัง “เราต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ด้วยนะครับ ท่าน”

วาล์วเดอร์นั่งลงไม่พูดอะไรไปชั่วขณะ

ดูจากสีหน้าแล้วไรล์ลี่ก็พอจะมองออกว่าเขาเองก็กังวลกับความเป็นไปได้นั้น เขาจึงพูดออกมาอย่างช้าๆแต่ลงน้ำหนักในทุกคำ

“องค์กรจะจัดการเรื่องนี้เอง”

ไรล์ลี่พูดไม่ออก เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่าวาล์วเดอร์หมายความว่าอะไร กำลังยอมรับความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะผิดพลาด? หรือยังดึงดันจะไม่เปลี่ยนแผนจากวิธีที่ใช้อยู่?

“นั่งลง เจ้าหน้าที่เพจ” วาล์วเดอร์บอก

ไรล์ลี่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างบิลที่เหลือบมามองเธออย่างวิตกกังวล

วาล์วเดอร์พูดต่อ “ผมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนคุณวันนี้แล้ว ไรล์ลี่”

ไรล์ลี่ชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ได้ประหลาดใจที่วาล์วเดอร์จะรู้เรื่องการตายของมารี ยังไงซะเรื่องที่เธอไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรกน่าจะดังมากระทบหูคนในองค์กรอยู่แล้ว แต่ ทำไมเขาถึงหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนนี้? นี่เธอกำลังได้ยินเศษเสี้ยวความเห็นใจในน้ำเสียงของเขาหรือนี่?

“เรื่องมันเป็นมายังไง” วาล์วเดอร์ถาม “ทำไมเธอถึงทำแบบนั้น”

“เธอทนกับมันไม่ไหวอีกแล้ว” ไรล์ลี่พูดเบาแทบจะเป็นกระซิบ

“ทนกับอะไร?” วาล์วเดอร์ถาม

ไรล์ลี่เงียบ ไม่รู้จะอธิบายคำตอบออกมาอย่างไร

“ผมได้ยินว่าคุณไม่เชื่อว่าปีเตอร์สันตายแล้ว” วาล์วเดอร์พูดต่อ “ผมว่าผมเข้าใจว่าทำไมคุณถึงสลัดความคิดนี้ไม่หลุด แต่คุณต้องเข้าใจว่ามันไม่เม้คเซ้นท์”

ห้องกลับสู่ความเงียบไปอีก

“คุณบอกเรื่องนี้กับเพื่อนคุณรึเปล่า” วาล์วเดอร์ถามรุก “คุณบอกเธอเรื่องความคิดหมกมุ่นอันนี้ของคุณรึเปล่า?”

ไรล์ลี่หน้าแดง รู้ดีว่าเขาจะดึงบทสนทนาไปทางไหน

“เธอเปราะบางเกินไปสำหรับความคิดแบบนั้น เจ้าหน้าที่เพจ” วาล์วเดอร์ยังไม่หยุด “คุณน่าจะรู้ว่ามันจะทำให้เธอเสียสติ คุณน่าจะพิจารณาให้รอบคอบกว่านี้ แต่อันที่จริงนะเจ้าหน้าที่เพจ การพิจารณาของคุณเนี่ยมันใช้การไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากจะพูดแต่มันคือเรื่องจริง”

เขากำลังโทษการตายของมารีว่าเป็นความผิดของฉัน ไรล์ลี่ตระหนัก

เธอฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล มันจะเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจหรือไม่พอใจเธอเองก็ไม่รู้ได้ ตัวเธอไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร จะเริ่มยังไง เธอไม่ได้เป็นคนใส่ความคิดพวกนั้นลงในสมองของมารี เธอรู้ข้อนี้ดี แต่เธอจะทำให้วาล์วเดอร์เข้าใจได้ยังไง เธอจะอธิบายยังไงว่ามารีมีเหตุผลของตัวเองที่สงสัยว่าปีเตอร์สันยังไม่ตาย

บิลพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านครับ อย่าใจร้ายกับเธอนักเลย ได้มั้ย”

“ผมว่าผมใจดีกับเธอมากไปต่างหาก เจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์” วาล์วเตอร์ตอบด้วยเสียงขึงขัง “ผมว่าผมอดทนมามากเกินไป”

วาล์วเดอร์จ้องตากับเธอครู่ใหญ่

“ส่งปืนกับตราประจำตัวคืนมา เจ้าหน้าที่เพจ” เขากล่าวในที่สุด

ไรล์ลี่ได้ยินบิลอุทานอย่างไม่เชื่อหู

“ท่าน นี่มันบ้าชัดๆ” บิลค้าน “พวกเราต้องการเธอ”

หากแต่ไรล์ลี่ไม่รอให้เขาต้องเอ่ยปากครั้งที่สอง เธอลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้และปลดปืนกับตราประจำตัววางลงบนโต๊ะทำงานของวาล์วเดอร์

“คุณไปจัดการเคลียร์ออฟฟิศของคุณตามเวลาที่คุณสะดวกแล้วกัน” วาล์วเดอร์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไร้ความรู้สึกใด “ระหว่างนี้คุณก็ควรกลับบ้านไปพักผ่อน แล้วก็กลับไปบำบัดซะ คุณยังต้องการมัน”

ขณะที่ไรล์ลี่เลี้ยวจะออกไปจากห้อง บิลลุกขึ้นยืนราวกับจะไปพร้อมกับเธอ

“คุณอยู่นี่ เจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์” วาล์วเดอร์ออกคำสั่ง

ไรล์ลี่ประสานสายตากับบิล บอกด้วยสายตาไม่ให้เขาขัดคำสั่ง ไม่ใช่ในตอนนี้ เขาพยักหน้าให้เธอด้วยสีหน้าอมทุกข์ แล้วไรล์ลี่จึงเดินออกไปจากออฟฟิศ ขณะเดินลงไปที่โถงทางเดิน เธอรู้สึกหนาวเย็นและชาไปหมด ถามตัวเองว่าแล้วตอนนี้จะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อขาก้าวพ้นออกมาเจอกับลมกลางคืนเอื่อยๆเย็นๆ น้ำตาก็ไหลรินลงมาอาบหน้าในที่สุด แต่เธอกลับรู้สึกฉงนในใจที่สำนึกได้ว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความโล่งใจ ไม่ใช่ความสิ้นหวัง เป็นครั้งแรกในหลายวันที่เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระจากข้อจำกัดที่น่าอึดอัดต่างๆ

*

หลังจากไรล์ลี่ ที่สายอีกแล้ว ไปรับเอพริลและพาขับรถกลับบ้าน เธอรู้ตัวเมื่อถึงบ้านว่าเธอไม่สามารถจะจัดการให้ตัวเองจัดแจงอาหารเย็นได้เลย หน้าของมารียังคงตามหลอกหลอนเธอและมันทำให้เธอยิ่งล้ามากกว่าที่เคยเป็นมา

“วันนี้เป็นวันที่แย่” เธอบอกกับเอพริล “เป็นวันที่ห่วยมาก ลูกกินแค่แซนด์วิชชีสย่างพอรึเปล่า?”

“หนูไม่หิวเท่าไหร่” เอพริลตอบ “แกเบรียล่าทำอะไรให้กินตลอดเวลาเลย”

ไรล์ลี่เหมือนโดนน็อคอีกรอบจากความสิ้นหวัง ความล้มเหลวอีกเรื่องหนึ่ง เธอนึกในใจ

แต่แล้วเอพริลหันมามองเธออีกรอบ คราวนี้มีแววสงสารและเห็นใจ

“ชีสย่างก็ดีนะคะ” เธอบอก “เดี๋ยวหนูทำเอง”

“ขอบใจนะลูก” ไรล์ลี่บอกเธอ “หนูน่ารักจริงๆ”

เธอรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องมีอีกเรื่องให้ต้องทะเลาะที่บ้าน เธอต้องการเวลาพักจริงๆ

พวกเธอกินข้าวเย็นกันอย่างเงียบๆ แล้วเอพริลจึงเข้าห้องไปทำการบ้านและเข้านอน

เหนื่อยจนแทบจะขาดใจแต่ไรล์ลี่ยังคิดว่าไม่มีเวลาเหลือให้เสียอีกแล้ว เธอกลับไปทำงานต่อ เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ดึงข้อมูลแผนที่บริเวณจุดที่เจอเหยื่อ และสั่งพิมพ์จุดที่เธอต้องการทำความเข้าใจ

ไรล์ลี่ค่อยลากเส้นเป็นรูปสามเหลี่ยมบนแผนที่ เส้นเชื่อมบริเวณที่พบศพเหยื่อทั้งสามแห่ง จุดเหนือสุดคือบริเวณที่ศพของ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ฟาร์มเมื่อสองปีก่อน ทางด้านตะวันตกคือจุดที่ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ถูกจัดวางไว้อย่างระมัดระวังใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ย้อนไปเมื่อหกเดือน และสุดท้าย ทางด้านใต้เป็นบริเวณที่ฆาตกรจับจุดฝีมือตัวเองได้แล้ว จัดแจงวางศพของ รีบ้า ฟราย ไว้ใกล้ลำธารในโมวส์บี้พาร์ค

ไรล์ลี่ทำวงกลมล้อมรอบบริเวณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งขบคิดทั้งสงสัย ผู้หญิงอีกคนอาจจะถูกพบศพอยู่บริเวณแถวนี้ – หากเธอยังไม่ได้ตายไปก่อนแล้ว ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว

ไรล์ลี่คอตกด้วยความเหนื่อยจัด แต่ชีวิตของผู้หญิงอีกคนกำลังเป็นเดิมพันและตอนนี้ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับเธอคนเดียวที่จะยื่นมือเข้าช่วย – โดยไม่มีความช่วยเหลือจากรัฐหรือจากทางการ ทำไม่ได้แม้แต่จะให้บิลมาช่วยเธอ แต่เธอจะจัดการคดีนี้ด้วยตัวเองคนเดียวได้อย่างไร

ยังไงก็ต้องลอง ยังไงก็ต้องทำเพื่อมารี เธอต้องทำให้วิญญาณมารีเห็น—และอาจจะเพื่อให้ตัวเธอเองเห็น – ว่าการฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นหนทางเดียว

เธอคิ้วขมวดเป็นปมกับสามเหลี่ยมนั้น มันเป็นข้อสันนิษฐานที่ใช้ได้ ว่าผู้เคราะห์ร้ายอาจถูกจับไว้อยู่ที่ไหนซักแห่งในบริเวณใดบริเวณหนึ่งจากเนื้อที่พันกว่าตารางไมล์

ฉันต้องหาบริเวณให้ถูกจุด ไรล์ลี่คิด แต่มันตรงไหนกันล่ะ?

เธอรู้ดีว่าต้องย่อบริเวณให้แคบลง และมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยก็ยังดีที่เธอคุ้นเคยกับบริเวณบางจุดบ้างแล้ว

บริเวณที่อยู่สูงสุดของสามเหลี่ยม, จุดที่ใกล้วอชิงตันมากที่สุด ส่วนมากเป็นพื้นที่ของพวกคนชั้นสูง รวย และเพียบพร้อม ไรล์ลี่มั่นใจว่าฆาตกรไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวในทำนองนั้น แล้วอีกอย่างฆาตกรน่าจะต้องจับเหยื่อไว้ในที่ที่จะไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ นิติเวชไม่พบร่องรอยของเหยื่อรายอื่นว่าถูกอุดปากหรือใช้เทปปิดปาก ไรล์ลี่วาดตัว X คาดผ่านลงบนบริเวณบ้านคนมีอันจะกินทั้งหมด

อีกสองจุดทางด้านใต้เป็นบริเวณทุ่งหญ้ากว้างทั้งสองที่ ฆาตกรจะมีเปอร์เซ็นต์จับเหยื่อไปไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ล่าสัตว์ให้เช่าหรือในเต๊นท์ตามบริเวณแคมป์ปิ้งหรือเปล่านะ?

ไรล์ลี่คิดกลับไปกลับมา

ไม่น่า เธอตัดสินใจได้ มันดูจะชั่วคราวไปหน่อย

สัญชาตญาณทุกอย่างมันบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้จัดการทุกอย่างที่บ้านของตัวเอง – อาจจะเป็นบ้านที่อยู่มาตลอดชีวิต สถานที่ที่ผ่านความเจ็บปวดในวัยเด็กมาพร้อมกับเขา น่าจะสะใจที่ได้พาเหยื่อไปไว้ที่นั่น พากลับบ้านไปด้วยกันกับเขา

ดังนั้นเธอจึงกากบาทบริเวณทุ่งหญ้าออก ส่วนที่เหลืออยู่คือพื้นที่ทำไร่นากับเมืองเล็กๆ ไรล์ลี่คาดการณ์อย่างค่อนข้างมั่นใจว่าเธอต้องมองหาบ้านไร่หรือโรงนาในบริเวณนั้นๆ

เธอดูแผนที่บนคอมพิวเตอร์อีกครั้งแล้วขยายภาพเข้ามาใกล้ตรงบริเวณที่เธอจับตาไว้ ใจหล่นวูบเมื่อเห็นถนนสายรองพันกันวุ่นวายเป็นเขาวงกต หากเธอคาดไม่ผิด ฆาตกรต้องอาศัยอยู่ในไร่เก่าแก่ซักแห่งในเขาวงกตนั้น แต่ถนนมีมากมายหลายสายเกินกว่าเธอจะหาพบได้อย่างรวดเร็วโดยทางรถ – อีกอย่างหนึ่งคือ พวกไร่นาอาจมองดูจากถนนไม่เห็น

เธอส่งเสียงโอดออกมาอย่างท้อแท้ ยิ่งเวลาผ่านไปทุกอย่างดูจะยิ่งไร้ความหวัง ความเจ็บปวดจากการสูญเสียและความล้มเหลวเตรียมกลับมาถล่มเธออีกครั้ง

แต่แล้วเธอก็อุทานออกมาเสียงดัง “ตุ๊กตา!”

เตือนตัวเองเรื่องที่เธอได้ข้อสรุปมาเมื่อวานนี้ – ว่าฆาตกรคงต้องได้พบกับเหยื่อในร้านขายตุ๊กตาร้านเดียวกัน แล้วร้านขายตุ๊กตาร้านนั้นน่าจะต้องอยู่ที่ไหนกัน?

เธอวาดรูปเล็กๆอีกอันลงบนแผนที่กระดาษพิมพ์ วาดเอียงมาทางตะวันออกของสามเหลี่ยมภาพใหญ่ ที่ตรงมุมก็มาร์คจุดตรงบริเวณที่หญิงสาวทั้งสี่รายอาศัยอยู่ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าตรงไหนซักแห่งในบริเวณนั้นต้องเป็นร้านที่หญิงสาวทุกคนไปซื้อตุ๊กตา ที่ๆฆาตกรพุ่งเป้าไปที่พวกเธอ แต่ไรล์ลี่ต้องหาร้านนั้นให้เจอก่อน ก่อนที่จะตามหาที่ๆฆาตกรจับพวกเธอไปขัง

เธอดึงแผนที่ขึ้นมาบนคอมพิวเตอร์และขยายเข้ามาใกล้อีก ฟากสุดทางด้านตะวันออกเป็นจุดบริเวณเล็กๆไม่ไกลจากบ้านของไรล์ลี่ สังเกตเห็นว่ามีถนนหลักขึ้นรูปมาเป็นส่วนโค้งแตะถึงด้านตะวันตก พาดผ่านเมืองเล็กๆหลายเมือง ไม่มีเมืองไหนมั่งคั่งหรือเก่าแก่ เป็นเมืองแบบที่ไรล์ลี่กำลังตามหา และทุกเมืองต้องมีร้านขายของเล่นหรือร้านขายตุ๊กตาอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เธอสั่งพิมพ์แผนที่อันเล็กแล้วค้นหาต่อ ตามหาร้านขายของในทุกเมือง สุดท้ายไรล์ลี่ก็ต้องปิดคอมพิวเตอร์ เธอต้องไปนอนเอาแรง

เพราะพรุ่งนี้ เธอมีภารกิจต้องออกไปตามหา ซินดี้ แมคคินน่อน

บทที่ 24

เมื่อไรล์ลี่ขับรถมาจอดที่เมืองเกล็นไดฟ์ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว มันเป็นวันที่แสนยาวนาน และเธอกำลังรู้สึกท้อ เวลามันผ่านไปเร็วเกินไป พัดผ่านเอาโอกาสเจอหลักฐานสำคัญต่อการช่วยชีวิตคนไปด้วย

เมืองเกล็นไดฟ์เป็นเมืองที่แปดที่เธอไปมาวันนี้ ในทุกเมืองที่ผ่านมา ไรล์ลี่เข้าไปตรวจดูร้านขายของเล่นและตุ๊กตา สอบถามทุกคนที่ยอมตอบคำถามเธอไปทั่ว แน่ใจว่ายังไม่เจอร้านที่เธอกำลังตามหา

ไม่มีใครในร้านไหนจำได้ว่าเคยเห็นผู้หญิงในภาพที่เธอโชว์พวกเขา แน่นอนผู้หญิงที่ว่านั้นทั้งอายุ รูปลักษณ์ภายนอก นั้นคล้ายกันไปหมดกับผู้หญิงคนอื่นอีกเป็นโหลที่คนเฝ้าร้านต้องเจอะเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และที่แย่ไปกว่านั้นไม่มีตุ๊กตาตัวไหนที่ไรล์ลี่เห็นบนชั้นวางดูเป็นไปได้ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการจัดวางท่าทางของเหยื่อเลย

พอไรล์ลี่ขับรถเข้ามาถึงเมืองเกล็นไดฟ์แล้ว เธอรู้สึกเดจาวูแปลกๆ ถนนหลักดูเหมือนกันกับเมืองอื่นทุกกระเบียด มีโบสถ์อิฐมอญอยู่ด้านหนึ่งข้างๆโรงหนังและอีกด้านหนึ่งก็เป็นร้านขายยา เมืองพวกนี้เริ่มจะปนกันมั่วไปหมดในหัวสมองที่เหนื่อยล้าของเธอ

ฉันคิดอะไรอยู่นะตอนนั้น? เธอถามกับตัวเอง

เมื่อคืนเธออยากจะนอนมาก และก็กินยาระงับประสาทที่หมอสั่งเข้าไปด้วย มันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร แต่ที่เธอกระดกวิสกี้ตามลงไปสองสามกรึ้บนี่สิมันไม่ฉลาดเลย ตอนนี้เธอปวดหัวหนักมากแต่ยังต้องทำภารกิจค้นหาต่อไป

เธอนำรถมาจอดที่หน้าร้านที่วางแผนไว้ว่าจะเข้าไปเช็ค แต่ก็เห็นว่าแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ถอนใจอย่างหมดกำลังใจ ยังมีเหลืออีกเมืองและอีกร้านหนึ่งที่เธอต้องไปดูคืนนี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วโมงกว่าเธอจะกลับถึงเฟร็ดดริกส์เบิร์กส์เพื่อไปรับเอพริลที่บ้านไรอัน ฉันไปรับเธอสายมากี่คืนกันแล้วนี่?

หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เธอกดโทรออกไปที่บ้าน หวังยิ่งกว่าหวังให้คนที่รับสายเป็นแกเบรียล่า แต่เธอกลับได้ยินเสียง

ไรอันที่ปลายสาย

“มีอะไรเหรอ ไรล์ลี่” เขาส่งเสียงถามมาตามสาย

“ไรอัน” ไรล์ลี่ตะกุกตะกัก “ฉันขอโทษจริงๆ แต่ – ”

“จะมารับเลทอีกแล้วล่ะสิ” ไรอันต่อให้เธอจนจบประโยค

“อืม” ไรล์ลี่ตอบ “ฉันขอโทษ”

ปลายสายเงียบไป

“ฟังนะ มันสำคัญมากน่ะ” สุดท้ายไรล์ลี่พูดขึ้น “ชีวิตของผู้หญิงคนนึงกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉันต้องไปทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ”

“ผมเคยได้ยินมาหมดแล้ว” ไรอันพูดด้วยน้ำเสียงขัดใจ “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายตลอด โอเคตามสบาย คุณไปจัดการละกัน ผมแค่เริ่มจะสงสัยว่าคุณจะใส่ใจมารับเอพริลทำไม ถ้าคุณจะทำงาน งั้นให้เธอนอนที่นี่เลยไม่ดีกว่าเหรอ”

ลำคอบีบรัดหายใจไม่ทั่ว เป็นอย่างที่เธอเคยกลัว ไรอันทำเสียงราวกับพร้อมจะสู้ในศึกแย่งสิทธิ์เลี้ยงดู และมันก็ไม่ได้มาจากความต้องการอย่างจริงใจที่อยากจะเลี้ยงเอพริล เขายุ่งกับการใช้ชีวิตเกินกว่าจะมาสนใจดูแลลูกสาว เขาเพียงแต่ต้องการทำให้ไรล์ลี่เจ็บปวด

“เดี๋ยวฉันจะไปรับลูก” ไรล์ลี่บอกพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ “ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”

เธอวางสายลง

แล้วเธอจึงลงจากรถลงเดินอีกนิดหน่อยเพื่อไปถึงร้าน – ที่มีชื่อว่า เด็บบี้ส์ ดอลล์ บูติค เธอเข้าไปข้างในและคิดว่าชื่อมันออกจะฟังดูดีเกินความเป็นจริงไปเสียหน่อย ในร้านก็ขายเพียงสินค้าแบรนด์เนมทั่วไปเท่านั้น

ไม่มีอะไรน่ามหัศจรรย์วิเศษวิโสอะไร เธอตระหนักได้

ร้านนี้ไม่น่าจะเป็นร้านที่เธอกำลังตามหา ในความคิดของเธออย่างน้อยร้านมันน่าจะดูพิเศษหน่อย ที่พอจะมีชื่อเสียงบอกต่อกันปากต่อปากจนเป็นที่สนใจจากลูกค้าจากเมืองรอบๆ ยังไงก็ตาม เธอก็ต้องเข้าไปเช็คอยู่ดีเพื่อความชัวร์

ไรล์ลี่เดินขึ้นไปที่เค้าน์เตอร์ที่มีหญิงชราตัวสูงใส่แว่นหนาเตอะมีโครงหน้าเหมือนนก ยืนอยู่ที่ลิ้นชักเก็บเงิน

“ดิฉันเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ ไรล์ลี่ เพจ” เธอแนะนำตัวเอง เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเหมือนโล่งๆไม่ได้สวมเสื้อผ้าเมื่อไม่มีตราประจำตัว ที่ผ่านมา เสมียนร้านอื่นก็ยอมคุยกับเธอดีโดยไม่มีใครขอดูตรา หวังว่าหญิงชราคนนี้จะไม่ขอเหมือนกัน

ไรล์ลี่ควักรูปถ่ายสี่ใบขึ้นมาวางไว้บนเค้าน์เตอร์

“ฉันอยากสอบถามว่าคุณเคยเห็นผู้หญิงในรูปพวกนี้บ้างหรือไม่” เธอถามชี้นิ้วไปทีละรูป “คุณคงไม่น่าจะจำ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ได้ – เธอคงเคยมาที่นี่เมื่อสองปีก่อน แต่ เอลีน โรเจอร์ส น่าจะมาเมื่อประมาณหกเดือนที่แล้ว และ รีบ้า ฟราย ก็น่าจะมาซื้อตุ๊กตาที่นี่เมื่อหกอาทิตย์ก่อน ส่วนผู้หญิงคนสุดท้าย ซินดี้ แมคคินน่อน ก็น่าจะมาที่นี่เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง”

หญิงชราส่องดูรูปใกล้ๆ

“โอ้ ที่รัก” เธอบอก “ตาของฉันมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ขอดูใกล้ๆหน่อยนะ” เธอหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องตามรูป ไรล์ลี่สังเกตว่ายังมีอีกคนอยู่ในร้าน ชายหนุ่มน่าจะเป็นคนติดบ้าน ส่วนสูงและรูปร่างปกติ สวมเสื้อทีเชิร์ตและกางเกงยีนส์พอดี ไรล์ลี่อาจจะมองข้ามเขาไปก็ได้หากไม่ได้เห็นรายละเอียดสำคัญอย่างหนึ่ง

เขาถือดอกกุหลาบมาเป็นกำ

ดอกกุหลาบพวกนี้เป็นของจริง แต่ภาพรวมของทั้งกุหลาบและตุ๊กตารวมกันแล้วอาจเป็นสัญญาณความหมกมุ่นของคนร้าย

ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอ แต่เขาต้องได้ยินที่เธอแนะนำตัวเองเป็นเอฟบีไอแน่นอน เขากำลังหลบสายตาอยู่หรือเปล่า?

แล้วจู่ๆเสียงหญิงชราก็ดังขึ้น

“ฉันไม่ คิด ว่าฉันเคยเห็นซักคนในนี้” เธอบอก “แต่ก็อย่างที่ฉันบอกล่ะนะ สายตาของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และฉันเองก็จำหน้าคนไม่ค่อยเก่งด้วย ต้องขอโทษที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้นะจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ไรล์ลี่ตอบพร้อมดึงรูปทั้งหมดกลับมาเก็บลงในกระเป๋า “ขอบคุณที่เสียสละเวลาค่ะ”

เธอหันไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง ที่ตอนนี้กำลังเลือกดูของอยู่ที่ชั้นวางใกล้ๆ ชีพจรเธอเต้นแรงขึ้น

มันเป็นไปได้ที่อาจเป็นเขา เธอคิด ถ้าเขาซื้อตุ๊กตา ฉันจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นเขา

แต่มันคงดูน่าสงสัยหากเธอจะยืนมองเขาอยู่ตรงนี้เฉยๆ ถ้าเขาเป็นคนร้ายจริง คงเป็นไปได้ยากที่จะออกอาการมาให้เห็น เขาอาจจะหลุดมือเธอไป

เธอยิ้มให้คนดูแลร้านแล้วเดินออกไป

ด้านนอก ไรล์ลี่เดินไปนิดหน่อยเพียงไม่กี่บล็อคแล้วก็หยุดยืนรอ เพียงไม่กี่นาทีถัดมา ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มที่เดินออกมาจากร้าน เขายังถือดอกกุหลาบกำนั้นไว้ในมือ และอีกมือหนึ่งถือถุงของที่เพิ่งซื้อสดๆร้อนๆ เขาเลี้ยวและเริ่มเดินไปตามทางเท้า ค่อยๆห่างออกไปจากไรล์ลี่ เธอสาวเท้าตามไปยาวๆ ไรล์ลี่เดินตามเขาอยู่ทางด้านหลัง เธอประเมินขนาดและโครงสร้างของชายหนุ่ม เธอสูงกว่าเขาเล็กน้อยและน่าจะแข็งแรงกว่าด้วย เธอได้รับการฝึกมาดีกว่าและจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้แน่

ขณะที่เขากำลังเดินผ่านซอยแคบ ชายหนุ่มคงได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังมา จู่ๆเหลือบหันมามองเธอ เขาก้าวหลบไปด้านข้างราวกับจะหลีกทางให้เธอไป

ไรล์ลี่ผลักเขาไปด้านข้างเข้าไปในซอย – ผลักอย่างแรงและหนักมือ พื้นที่ในซอยแคบ สกปรก และมืดสลัว

อารามตกใจ ชายหนุ่มปล่อยของหล่นจากมือทั้งกุหลาบและถุงของที่เพิ่งซื้อมา ดอกไม้หล่นกระจัดกระจายไปเต็มทางเดิน เขายกมือขึ้นปัดป้องตัวเองให้พ้นจากภัย

เธอคว้าไปที่แขนนั้นและบิดมันไปทางด้านหลัง ผลักเขาหน้าแนบไปติดกำแพงอิฐ

“ดิฉันเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ ไรล์ลี่ เพจ” เธอเสียงสะบัด “คุณจับ ซินดี้ แมคคินน่อน ไปไว้ที่ไหน เธอยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า”

ชายหนุ่มสั่นเทิ้มตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใครนะ?” เขาถามด้วยเสียงสั่นเทา “ผมไม่รู้คุณพูดเรื่องอะไร”

“อย่ามาเล่นเกมส์กับฉันนะ” ไรล์ลี่สะบัดเสียง ยิ่งรู้สึกเปลือยเปล่าเมื่อไม่มีตราประจำตัว – โดยเฉพาะเมื่อไม่มีปืน เธอจะจับตัวชายคนนี้ไปได้ยังไงโดยไม่มีอาวุธ เธอมาอยู่ตั้งไกลจากควอนติโก้ แล้วเธอก็ยิ่งไม่มีคู่หูที่จะมาช่วยเธอด้วย

“คุณผู้หญิง ผมไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” ชายหนุ่มบอก บ่อน้ำตาแตก

“ดอกกุหลาบนี่เพื่ออะไร? เธอออกคำสั่งถามเขา “เอาไปให้ใคร?”

“ลูกสาวของผม!” เขาแหกปากบอก “งานแสดงบรรเลงเปียโนในวันพรุ่งนี้”

ไรล์ลี่ยังรั้งแขนขวาของเขาไว้ แขนซ้ายของเขาติดกำแพง ไรล์ลี่เพิ่งสังเกตเห็นบางอย่างที่เพิ่งจะมาสะดุดสายตาเธอเอาตอนนี้

เขาสวมแหวนแต่งงาน เธอมั่นใจมาตลอดว่าฆาตกรยังไม่ได้แต่งงาน

“งานแสดงบรรเลงเปียโนงั้นเหรอ?” เธอย้ำ

“ลูกศิษย์ของคุณทุลลี่” เขาร้องบอก “คุณไปถามใครในเมืองนี้ดูก็ได้”

ไรล์ลี่ปล่อยแขนเขาหลวมๆ

ชายหนุ่มอธิบายต่อ “ผมซื้อกุหลาบไปแสดงความยินดีกับลูกตอนเธอโค้งคำนับ ผมซื้อตุ๊กตาไปให้เธอด้วย”

ไรล์ลี่ปล่อยแขนชายหนุ่มและเดินไปตรงที่เขาทำถุงหล่นไว้ หยิบมันขึ้นมาแล้วดึงของข้างในออกมาดู

มันคือตุ๊กตา – ตุ๊กตาเด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่เธอรู้สึกไม่ชอบและกวนใจเธอมาตลอด ดูปลุกเร้าด้วยปากอวบอิ่มเผยอ กับหน้าอกหน้าใจใหญ่บึ้ม แต่ถึงจะดูกวนประสาทอย่างไร ดูยังไงก็ไม่เหมือนตุ๊กตาแบบที่เธอเห็นใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ตุ๊กตาตัวนั้นเป็นเด็กผู้หญิง เป็นตุ๊กตาเด็กหญิงเหมือนกันกับที่เห็นในรูปของ ซินดี้ แมคคินน่อน ที่ถ่ายกับหลานสาว – กระโปรงเดรสมีระบาย ผมสีทอง และสวมชุดสีชมพู

ระลึกได้ว่าจับผิดคน เธออ้าปากหวอ หายใจรัว

“ฉันขอโทษด้วยค่ะ” เธอบอกกับชายผู้นั้น “ฉันผิดเอง ขอโทษจริงๆ”

ตัวยังสั่นไปด้วยความตกใจและงุนงง ชายหนุ่มก้มลงเก็บดอกกุหลาบ ไรล์ลี่ก้มลงจะช่วยเก็บ

“ไม่ต้อง! ไม่ต้อง!” ชายหนุ่มอุทานเสียงดัง “ไม่ต้องช่วย! ออกไปให้พ้นเลย! แค่ – ออกไปไกลๆจากตัวผม!”

ไรล์ลี่หันหลังกลับและเดินออกจากซอย ทิ้งให้ชายผู้น่าสงสารเก็บดอกกุหลาบและตุ๊กตาของลูกสาวขึ้นมา เธอปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมเธอไม่หยุดตั้งแต่เนิ่นๆ? ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นแหวนแต่งงานตั้งแต่ตอนที่เห็นเขา?

คำตอบนั้นง่ายมาก เธอล้าและปวดหัวจนสมองแทบจะแยกออกเป็นสองส่วน เธอไม่ได้อยู่กะร่องกะรอย

ขณะที่เดินเบลอๆไปตามทางเดิน แสงจากหลอดนีออนบนป้ายด้านหน้าของบาร์ก็เตะตาเธอ เธออยากดื่ม รู้สึกว่าต้องการหาอะไรดื่มจริงๆ

เธอเดินเข้าไปในสถานที่เปิดไฟสลัวและนั่งคงตรงเค้าน์เตอร์บาร์ บาร์เทนเดอร์กำลังยุ่งกับการทำเครื่องดื่มให้ลูกค้า ไรล์ลี่นึกอยากรู้ว่าชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้ที่เธอทักทายในซอยจะทำอะไรอยู่ตอนนี้ เค้าโทรเรียกตำรวจรึเปล่านะ? จะเป็นตัวเธอเองหรือเปล่านะที่จะโดนจับกุม นั่นคงกลายเป็นเรื่องตลกร้ายสุดขมขื่นแน่ๆ

แต่เธอเดาว่าชายคนนั้นคงไม่น่าจะแจ้งความ ไม่ว่ายังไงน่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ต้องอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เขาน่าจะรู้สึกอับอายที่โดนโจมตีโดยผู้หญิง

ยังไงก็ตาม หากเขาได้โทรศัพท์แจ้งความแล้วพวกเขากำลังจะมาจับเธอ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหนี ถ้าเธอต้องทำ เธอคงเลือกจะเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาจากการกระทำของตัวเอง บางทีเธอก็อาจสมควรโดนจับ เธอยังจำบทสนทนาที่คุยกับ ไมค์ เนวินส์ ได้ ที่เขาทำให้เธอหันมาใส่ใจความรู้สึกไร้ค่าของตัวเอง

บางทีฉันอาจจะถูกที่รู้สึกไร้ค่า เธอคิด บางทีอาจจะดีกว่าหากปีเตอร์สันฆ่าฉันซะ

บาร์เทนเดอร์เดินตรงมาทางเธอ

“จะดื่มอะไรดีครับ คุณผู้หญิง” เขาถาม

“เบอร์บอนเพียวใส่น้ำแข็ง” ไรล์ลี่บอก “เอามาสองแก้วเลย”

“มาเดี๋ยวนี้แล้วครับ” บาร์เทนเดอร์รับออเดอร์

เธอเตือนตัวเองว่ามันไม่ใช่นิสัยเธอเลยที่จะดื่มในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การรักษาตัวอันสุดแสนทรมานจากโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญของเธอก็มีส่วนเกี่ยวกับการดื่มหนักเป็นครั้งคราวของเธอด้วย แต่เธอก็คิดว่าเธอหายดีแล้วเสียอีก

เธอยกแก้วขึ้นจิบ รสชาติบาดลิ้นของเครื่องดื่มทำให้เธอรู้สึกดีตอนกลืนมันลงไป

ยังเหลืออีกหนึ่งเมืองที่จะต้องไปเช็ค และอย่างน้อยอีกหนึ่งคนที่ต้องสอบปากคำ แต่เธอต้องการอะไรบางอย่างมาช่วยระงับประสาท

เอานะ เธอคิดในใจพร้อมรอยยิ้มขืนๆ อย่างน้อย ฉันก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่อย่างเป็นทางการ

เธอดื่มให้เสร็จอย่างเร็วแล้วตัดใจไม่สั่งเพิ่ม ร้านขายของเล่นในเมืองต่อไปคงใกล้จะปิดแล้ว และเธอต้องรีบไปให้ถึงโดยเร็ว เวลามันเหลือน้อยเต็มทีสำหรับ ซินดี้ แม็คคินน่อน – ถ้ามันไม่ได้หมดไปแล้วล่ะก็นะ

ขณะที่กำลังออกจากบาร์ ไรล์ลี่สัมผัสได้ว่าเธอกำลังเดินอยู่บนขอบขุมนรกที่คุ้นเคยดี เธอเคยคิดว่าได้ทิ้งความรู้สึกพวกนั้นไว้เบื้องหลังไกลแสนไกลไปแล้ว ความกลัว ความเจ็บปวด ความรู้สึกเกลียดตัวเอง นี่มันกำลังจะวนกลับมาหาเธออีกหรือ?

อีกนานแค่ไหนกัน เธอใคร่อยากจะรู้ เธอจะหลบเลี่ยงพลังดึงดูดอันแรงกล้าของมันไปได้มั้ย?

บทที่ 25

โทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้นเช้าวันถัดมา ไรล์ลี่นั่งอยู่ที่โต๊ะกาแฟ ตาดูอยู่ที่แผนที่เส้นทางที่เธอขับตามเมื่อวานนี้ กำลังวางแผนเส้นทางใหม่ของวัน เมื่อเธอเห็นว่าเป็นบิลที่โทรเข้ามา ชีพจรเธอเต้นเร็วขึ้น มันจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันนะ?

“บิล มีอะไรรึเปล่า?”

ได้ยินอดีตคู่หูถอนหายใจอย่างเวทนา

“ไรล์ลี่ คุณนั่งอยู่รึเปล่า”

ไรล์ลี่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เธอดีใจที่เธอนั่งอยู่ ตอนนี้รู้แล้วว่าน้ำเสียงแบบนี้ของบิลมันหมายความได้อย่างเดียว และเธอรู้สึกกล้ามเนื้อมันหมดแรงด้วยความไม่ได้ดั่งใจ

“พวกเขาเจอ ซินดี้ แมคคินน่อน แล้ว” บิลบอก

“และเธอก็ตายแล้วใช่มั้ย” ไรล์ลี่พูดไปด้วยพยายามหายใจไปด้วย

บิลไม่พูดอะไรต่อ แต่การไม่พูดอะไรเลยของเขาก็ตอบคำถามของไรล์ลี่ได้ดี เธอรู้สึกเหมือนน้ำตามันเริ่มเอ่อ – น้ำตาของความตกใจและหมดหนทาง เธอพยายามกลั้นมันไว้ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ร้องไห้ออกมา

“พวกเขาพบเธอที่ไหน” ไรล์ลี่ถาม

“ก็ไกลออกไปทางตะวันตกจากเหยื่อคนก่อนๆ เจอในป่าสงวน เกือบถึงเส้นแบ่งเขตเวอร์จิเนียตะวันตก

เธอมองที่แผนที่ของตัวเอง “เมืองที่ใกล้ที่สุดชื่ออะไร” เขาตอบกลับมาและเธอก็ค้นเจอประมาณการโลเคชั่น มันไม่ได้อยู่ด้านในเส้นสามเหลี่ยมที่ลิงค์จากสถานที่เกิดเหตุที่พบเหยื่อรายก่อนๆทั้งสามที่ แต่ยังไงก็แล้วแต่ มันต้องมีความสัมพันธ์อะไรซักอย่างเกี่ยวเนื่องกันกับอีกสามที่ เพียงแต่เธอยังบอกไม่ได้ว่าคืออะไร

บิลยังคงอธิบายการค้นพบให้เธอฟังต่อ

“มันจับเธอไปไว้ติดกับหน้าผาตรงพื้นที่ว่างโล่ง ไม่มีต้นไม้ล้อมรอบ ตอนนี้ผมอยู่ที่เกิดเหตุ มันเลวร้ายมาก มันชักจะบ้าบิ่นมากขึ้นทุกที ไรล์ลี่”

แล้วก็จัดการเหยื่อเร็วขึ้นทุกทีด้วย ไรล์ลี่คิดพร้อมกับความรู้สึกหมดกำลังใจ เขาปล่อยให้เหยื่อรายนี้มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

 

“ตกลง แดเริล กัมม์ ถูกจับมาผิดคน” ไรล์ลี่ถาม

“คุณเป็นคนเดียวที่บอกแบบนั้นแต่แรก” บิลตอบ “คุณคิดถูก”

ไรล์ลี่พยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์

“แล้วตกลง กัมม์ ถูกปล่อยตัวมั้ย” เธอถามต่อ

บิลคำรามในคอด้วยความหงุดหงิด

“ไม่มีทางซะล่ะ” เขาตอบ “เขาจะต้องเจอกับโทษข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เขามีที่จะต้องรับผิดชอบหลายเรื่อง ก็ไม่ใช่ว่าเขาดูแคร์อะไร แต่เราจะพยายามเก็บชื่อของเขาให้ห่างจากสื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไอ้หัวแหลมไร้ศีลธรรมนั่นไม่สมควรได้รับความสนใจจากสาธารณชน”

ทั้งคู่ต่างก็เงียบกันไป

“บ้าเอ๊ย ไรล์ลี่” บิลสบถออกมาในที่สุด “ถ้าวาล์วเดอร์ฟังคุณบ้างนะ บางทีเราอาจจะช่วยเธอไว้ได้”

ไรล์ลี่กลับไม่คิดอย่างนั้น มันไม่ใช่ว่าเธอมีหลักฐานอะไรที่เชื่อถือได้ในมือ แต่ด้วยกำลังคนที่ถูกจัดสรรมาให้ ก็อาจจะหาหลักฐานบางอย่างเจอได้ในเวลาอันมีค่าเหล่านั้น

“คุณมีรูปอะไรบ้างหรือเปล่า” ไรล์ลี่ถาม หัวใจเต้นตึกตัก

“มีนะ แต่ – ”

“ฉันรู้ว่าคุณไม่สมควรจะเอามาให้ฉันดู แต่ยังไงฉันต้องได้เห็นมัน คุณช่วยส่งรูปมาให้ฉันได้มั้ย?

หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง บิลพูดขึ้นว่า “ส่งแล้ว”

แค่เพียงไม่กี่อึดใจ ไรล์ลี่ก็เปิดดูภาพน่าสยดสยองบนมือถือ ภาพระยะใกล้ภาพแรกสุดนั้นเหมือนเธอเพิ่งจะเห็นมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ภาพคราวก่อนเหยื่อนั้นยิ้มดีใจที่เห็นเด็กน้อยกับตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอ แต่ภาพนี้หน้าดูซีดเผือด ตาโดนเย็บเปิดไว้ ปากก็โดนทาทับไปเป็นรูปรอยยิ้มน่าพรั่นพรึง

ขณะที่เธอไล่ดูรูปไปเรื่อยๆนั้น เธอเห็นว่าการจัดวางท่านั้นเหมือนกันกับแบบที่ศพของ รีบ้า ฟราย โดยจัดวางไว้เลย รายละเอียดอื่นๆมีอยู่ในนั้น ท่าท่างนั้นเหมือนเป๊ะ ศพล่อนจ้อนและขาถูกจับแหกไว้ นั่งหลังตรงอย่างแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตา ดอกกุหลาบพลาสติกถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างขาทั้งสองข้างของเธอ

มันคือลายเซ็นที่แท้จริงของฆาตกร ข้อความที่มันต้องการสื่อ นี่เป็นสภาพที่มันต้องการจะสื่อมาตลอด มันจับจุดได้อยู่หมัดแล้วที่เหยื่อรายที่สามและสี่ ไรล์ลี่รู้ดีว่ามันพร้อมแล้วที่จะก่อเหตุอีกครั้ง

หลังจากดูรูปแล้ว ไรล์ลี่กลับไปคุยโทรศัพท์ที่ค้างไว้กับบิล

“ฉันเสียใจจริงๆ” เธอบอกเขา เสียงเต็มตื้นไปด้วยความสั่นสะพรึงและความเศร้า

“อืม ผมก็เหมือนกัน” เขาบอก “แต่คุณมีไอเดียอะไรบ้างมั้ย?”

ไรล์ลี่ย้อนภาพที่เธอเพิ่งดูมาอยู่ในความคิด

“ฉันคาดไว้ว่าวิกผมกับดอกกุหลาบมันเหมือนกันในทุกราย” เธอตอบเขา “ริบบิ้นด้วยเหมือนกัน”

“ใช่ มันดูเหมือนกันหมด”

เธอหยุดไปอีกครั้ง หลักฐานอะไรที่ทีมของบิลคาดหวังว่าจะเจอ?

“คุณไปทันได้เช็คทางเดินกับรอยเท้าหรือเปล่า” เธอถาม

“ที่เกิดเหตุโดนล้อมไว้ค่อนข้างเร็วคราวนี้ พวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาเจอเธอแล้วรีบติดต่อองค์กรโดยตรง ไม่มีตำรวจท้องที่เดินเพ่นพ่าน แต่เราก็ไม่เจออะไรที่มีประโยชน์ เจ้าฆาตกรมันค่อนข้างระแวดระวังตัวทีเดียว”

ไรล์ลี่คิดหนักอยู่ซักพัก จากรูปเห็นว่าศพอยู่ในท่านั่งบนพื้นหญ้า พิงอยู่กับชั้นหิน คำถามมากมายดังอยู่ในหัวของเธอ

“ศพเย็นแล้วหรือยัง?” เธอถาม

“เย็นแล้วตอนที่เราไปถึง”

“คุณคิดว่าศพอยู่ตรงนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว”

เธอได้ยินเสียงเขาใช้นิ้วตวัดเปิดหน้ากระดาษจดโน๊ตไปมา

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เธอถูกจัดวางอยู่ในท่านี้หลังจากเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ถ้าตามที่เห็นจากการเปลี่ยนสีของศพก็ภายในไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เราน่าจะรู้อะไรมากกว่านี้หลังจากฝ่ายนิติเวชชันสูตรมาถึง”

ไรล์ลี่รับรู้ถึงการสิ้นสุดของความอดทนที่กำลังก่อตัวขึ้น เธออยากจะรู้วิธีการลำดับเหตุการณ์ของฆาตกรให้มันชัดเจนกว่านี้

เธอถามต่อ “เป็นไปได้มั้ยว่ามันจัดท่าทางของเธอตั้งแต่อยู่ในสถานที่ที่ใช้สังหาร แล้วค่อยพาเธอมาที่โลเคชั่นที่เลือกไว้หลังจากศพเริ่มเข้าสู่ภาวะแข็งตัว”

“ไม่น่าเป็นไปได้” บิลบอก “ผมไม่เห็นอะไรที่ดูผิดปกติหรือประหลาดในท่าทางที่ถูกจัดไว้เลย ผมไม่คิดว่าเธอจะเริ่มเข้าสู่ภาวะแข็งตัวมาก่อนแล้วถูกพามาที่นี่ ทำไมเหรอ? คุณคิดว่ามันพาเธอมาที่นี่แล้วค่อยลงมือสังหารเหรอ”

ไรล์ลี่หลับตาคิดอย่างหนัก

ในที่สุดก็ตอบไปว่า “ไม่ใช่”

“คุณแน่ใจนะ”

“มันสังหารเธอในที่ๆมันกักตัวเธอไว้แล้วค่อยพามาที่บริเวณที่เลือกไว้ ไม่น่าจะพาเธอมาทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ มันไม่น่าจะอยากจัดการกับการดิ้นรนขัดขืนบนรถกระบะหรือบนสถานที่นี้

ตาของเธอยังปิดอยู่ ไรล์ลี่ก้าวเข้าไปภายในความนึกคิดตัวเองเพื่อจะสัมผัสรายละเอียดเพิ่มเติมในห้วงความคิดของฆาตกร “มันก็น่าจะอยากพาวัตถุดิบมาจัดการตอนที่อะไรๆยังไม่แข็งทื่อ” เธอออกความเห็น “พอเธอตายแล้ว ก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับมัน เหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ผู้หญิงอีกต่อไป มันลงมือสังหาร ล้างตัวเธอ เช็ดตัวให้เธอ เตรียมศพให้อยู่ในท่าทางอย่างที่มันต้องการ แล้วเคลือบทับไว้อีกชั้นด้วยวาสลีน

เหตุการณ์ในห้วงความคิดเริ่มกระจ่างชัดในรายละเอียดมากขึ้น

“มันพาเธอมาถึงที่โลเคชั่นตอนสภาวะร่างกายกำลังเริ่มจะแข็งตัว” เธอพูดต่อ “กะเวลาไว้อย่างดีเชียวล่ะ หลังจัดการกับเหยื่อไปแล้วสามราย มันเข้าใจแล้วว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ดึงเอาสภาวะแข็งตัวของศพเหยื่อเข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งในวิธีการสร้างสรรค์ศิลปะ จัดแจงจับเธอวางในท่าท่างต่างๆในขณะเดียวกันกับที่ร่างกายเธอแข็งตัวไปด้วย ค่อยเป็นค่อยไป มันปั้นเธอราวกับเป็นดินเผา”

ไรล์ลี่ลำบากใจที่จะเอ่ยว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นต่อไปในความคิดของเธอ – หรือก็คือห้วงสำนึกของฆาตกร

คำพูดหลุดออกมาอย่างช้าๆและเจ็บปวด

เมื่อถึงเวลาที่เขาจัดการปั้นร่างไร้วิญญาณของเธอเสร็จหมดแล้ว คางยังคงวางพักไว้ที่หน้าอก เขาคลำไปที่กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และคอ รับรู้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วจึงจัดการจับคอเธอเอียงหน้าขึ้น ประคองมันในท่านั้นจนเริ่มแข็งตัว อาจจะประมาณสองหรือสามนาที ช่างมีความอดทนจริงๆ แล้วจึงถอยหลังไปยืนชื่นชมผลงานของตัวเอง”

“พระเจ้า” บิลพึมพำเสียงเบาหวิว น้ำเสียงตกใจ “คุณมันเจ๋งจริง”

ไรล์ลี่ถอนใจฝืดๆและไม่ได้ตอบอะไร เธอไม่คิดว่าเธอเจ๋ง – ไม่อีกแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ดีมีอยู่เรื่องเดียวคือการเจาะเข้าไปใน

ความคิดอันวิปริต แล้วนั่นมันบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเธอได้บ้าง? มันช่วยอะไรคนอื่นได้ยังไง? มันก็ไม่ได้ช่วย ซินดี้ แมคคินน่อน ขึ้นมาได้

บิลถามขึ้น “คุณว่ามันจับเหยื่อไปขังไว้ไกลแค่ไหนตอนยังมีชีวิต”

ไรล์ลี่คิดคำนวณในหัวอย่างรวดเร็ว วาดภาพบริเวณแผนที่ออกมาในความคิด

“ไม่ไกลจากที่ที่เขาจัดวางท่าทางให้เธอ” เธอบอก “น่าจะอยู่ในระยะทางขับรถภายในสองชั่วโมง” “ซึ่งก็ยังครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้างมากอยู่ดี”

จิตเธอตกวูบลงทุกขณะ บิลพูดไม่ผิดเลย เธอไม่ได้พูดอะไรซักอย่างที่สามารถช่วยพวกเขาได้

“ไรล์ลี่ พวกเราต้องการให้คุณกลับมาทำคดีนี้นะ” บิลบอก

ไรล์ลี่รำพึงในลมหายใจ

“ฉันแน่ใจว่าวาล์วเดอร์คงไม่เห็นด้วย” เธอตอบเขา

ฉันเองก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน เธอนึกในใจ

“เอาล่ะ วาล์วเดอร์คิดผิด” เขาย้ำกับเธอ “แล้วผมจะบอกเขาด้วยว่าเขาคิดผิด ผมจะทำให้คุณได้กลับมาทำคดี”

ไรล์ลี่ปล่อยให้คำพูดของบิลตกตะกอนในความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“มันเสี่ยงเกินไปสำหรับคุณ” สุดท้ายเธอพูดออกมา “วาล์วเดอร์มีสิทธิ์ไล่คุณออกได้หากคุณสร้างปัญหา”

บิลตะกุกตะกัก “แต่ – แต่ ไรล์ลี่ – ”

“ไม่มี ‘แต่’ บิล ถ้าคุณทำให้ตัวเองโดนไล่ออก คดีนี้จะไม่มีวันปิดได้”

“โอเค” เขาตอบ “แต่คุณมีไอเดียอะไรบ้างมั้ย?”

ไรล์ลี่นิ่งคิดแป๊บหนึ่ง ขุมนรกที่เธอพยายามส่องดูมาหลายวันนี้เริ่มจะขยายความกว้างและลึกมากขึ้น เธอรับรู้ว่าความมุ่งมั่นที่เหลืออยู่น้อยนิดของเธอกำลังค่อยๆหลุดมือเธอไป เธอล้มเหลวและผู้หญิงอีกคนต้องมาตาย

ยังไงซะ อาจจะมีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่เธอสามารถช่วยได้

“ฉันมีไอเดียบางอย่าง” เธอบอก “เดี๋ยวฉันจะบอกคุณ”

ขณะที่เธอวางสาย ก็ได้กลิ่นกาแฟและเบคอนทอดออกมาจากในครัว เอพริลอยู่ในนั้น กำลังจัดแจงทำอาหารเช้าตั้งแต่ที่ไรล์ลี่ตื่นออกมา

“โดยไม่มีใครขอร้องให้ทำด้วย!” ไรล์ลี่คิดในใจ

บางทีการไปใช้เวลาอยู่กับพ่ออาจทำให้เธอนึกถึงความดีของไรล์ลี่ก็ได้ อย่างน้อยก็นิดนึง เอพริลไม่เคยชอบอยู่วนเวียน

อยู่รอบตัวไรอัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไรล์ลี่รู้สึกขอบคุณแม้เพียงการปลอบใจเล็กๆในเช้าของวันแบบนี้

เธอนั่งคิดว่าจะทำอะไรต่อไป วางแผนจะเดินทางไปเส้นตะวันตกอีกครั้งในวันนี้ ไปตามเส้นทางใหม่ที่มาร์คเอาไว้ แต่เธอก็รู้สึกท้อแท้ เหมือนหมดแรงจากเหตุการณ์กลับตาลปัตรที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวานนี้เธอก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แล้วยังแพ้ใจตัวเองให้กับเหล้าเก้านั้นในเกล็นไดฟ์อีก เธอไม่อยากจะเป็นแบบนั้นอีกในวันนี้ ไม่ใช่ในสภาวะทางความคิดแบบนี้ เธอต้องทำอะไรพลาดแน่ แล้วเธอก็พลาดมามากเกินพอแล้ว

หากแต่โลเคชั่นที่ตั้งของร้านก็ยังเป็นจุดสำคัญ – อาจจะสำคัญมากกว่าทุกครั้งด้วยซ้ำ ฆาตกรต้องไปหาเป้าหมายเหยื่อรายใหม่ที่นั่น หากเขาไม่ได้เจอเหยื่อใหม่ไปแล้วเรียบร้อยล่ะนะ ไรล์ลี่เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมา เขียนอีเมลหาบิลและแนบแผนที่ของเธอไปให้เขา

เธออธิบายให้เขารู้ว่าเมืองอะไร ร้านไหน ที่ต้องไปตรวจสอบ ตัวบิลเองควรจะมุ่งมั่นกับการตามล่าหาบ้านของฆาตกร เธอเขียนไปตามนั้น แต่บางทีเขาอาจจะช่วยโน้มน้าววาล์วเดอร์ให้ช่วยส่งใครซักคนมาตามเส้นทางของไรล์ลี่ – ตราบเท่าที่วาล์วเดอร์ไม่รู้ว่านี่เป็นไอเดียของเธอ

เธอนั่งจ้องแผนที่อยู่อย่างนั้น เริ่มจะมองเห็นรูปแบบที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน มันไม่ใช่สถานที่หรอกที่เกี่ยวข้องกัน แต่มันเป็นโลเคชั่นของที่ตั้งที่มันเอียงออกมาจากบริเวณจุดๆหนึ่งบนแผนที่ – บริเวณที่ที่อยู่ของเหยื่อทั้งสี่นั้นขนาบแนบอยู่ ขณะที่เธอศึกษามัน เธอยิ่งเชื่อมากกว่าทุกครั้งว่าการเลือกเหยื่อนั้นเลือกจากสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งที่เหยื่อทุกคนได้ไป ต้องเป็นร้านขายตุ๊กตาแน่นอน และไม่ว่าฆาตกรจะพาเหยื่อไปกักขังไว้ที่ไหน มันคงไม่น่าจะไกลจากสถานที่แรกที่มันพบเหยื่อ

แต่ทำไมจนป่านนี้เธอยังหาร้านนั้นไม่เจอ? วิธีคิดของเธอผิดหรือเปล่า? เธอมุ่งมั่นกับความคิดใดความคิดหนึ่งมากไปจนมองข้ามหลักฐานอื่นๆหรือเปล่า? หรือว่าเธอจะคิดไปเองว่าฆาตกรมีแบบแผนในการก่อเหตุจึงทำให้เธอหลงทาง?